ประวัติความเป็นมาของอำเภอเชียงของ

ประเทศในยุคล่าอาณานิคม ของประเทศตะวันตก เชียงของถูกกำหนดให้เป็น “ดินแดนส่วนกลาง” ระหว่างสยามประเทศกับฝรั่งเศส ที่ต้องการยึดครองดินแดนลุ่มแม่น้ำโขง ณ เวลาหนึ่ง ต้องผจญกับการถูกรุกราน และถูกยึดเมืองโดยกลุ่มเงี้ยว ก่อนที่จะหวนกลับมาเป็นหัวเมืองหนึ่งของมณฑลพายัพ และก้าวเข้าสู่การเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดเชียงราย
ในเวลาต่อมา ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นต้องการสร้างวงศ์ไพบูลย์มหาเอเชียบูรพา ได้ขอผ่านประเทศไทยไปยึดครองประเทศพม่า เชียงของเป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่ญี่ปุ่น ได้เข้ามาตั้งฐานกำลังสนับสนุนการทำ สงคราม ครั้นยุคสงครามเย็น เชียงของถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่สีชมพู ซึ่งหมายถึงจุดของการต่อสู้เพื่อแย่งชิงประชากร ระหว่างลัทธิสังคมนิยม กับโลกเสรี (ประชาธิปไตย) แต่เมื่อสถานการณ์ต่างๆ คลี่คลาย เชียงของได้รับการพัฒนามาตามลำดับ ในฐานะอำเภอหน้าด่านของจังหวัดเชียงราย มีการค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้าน (ลาว) และจีนตอนใต้ ระยะเวลากว่า 10 กว่าปีที่ผ่านมา เชียงของถูกวางให้เป็นหนึ่งในแผนพัฒนาสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ เพื่อเชื่อมโยงการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และเป็นประตูสู่อินโดจีน
มีบทบันทึกในหนังสือพื้นบ้านตั้งแต่สมัยพุทธกาลว่า ครั้งหนึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เคยเสด็จมาโปรดเวไนยสัตว์ และทรงเทศนาสั่งสอนชาวป่า ทางตะวันตกของแม่น้ำโขงคือ “อำเภอเชียงของ” ในปัจจุบัน ทั้งนี้ พระพุทธเจ้าทรงเทศนาโปรดเวไนยสัตว์ ณ เมืองเชียงของ ตำนานพื้นบ้านบันทึกไว้ว่า…
ในช่วงเวลาที่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้า ทรงเสด็จเทศนาโปรดเวไนยสัตว์เป็นเวลา 45 ปีนั้น ครั้งหนึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระอานนท์ ได้เสด็จถึงดอยแห่งหนึ่งใกล้เมืองเมิง อยู่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ดอยแห่งนั้นมีซอกเขาสลับซับซ้อน วิจิตรงดงาม มีถ้ำที่พระองค์ได้ประทับรอยพระบาทเบื้องขวาไว้บนก้อนหินก้อนหนึ่ง ใกล้กับหินใหญ่ที่ชะโงกเงื้อมคล้ายกระท่อม อยู่ทางด้านขวาติดกับปากถ้ำ หันมาทางทิศตะวันออก (ปัจจุบันมีรอยพระบาทปรากฏอยู่บนก้อนหินนั้น) แล้วพระองค์ได้เสด็จข้ามแม่น้ำโขงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ มายังบ้านแห่งหนึ่ง
คือบ้านของตำมิละ ตั้งอยู่ริมฝั่งน้ำโขง พระองค์ได้เสด็จลงสรงน้ำ บนก้อนหินก้อนหนึ่งมีรูปคล้ายช้าง ตั้งอยู่กลางลำน้ำโขง พระองค์ได้ประทับบริเวณใต้ต้นขนุนเป็นระยะเวลาหนึ่ง ได้ทรงเทศนาสั่งสอนชาวบ้านในหมู่บ้านแห่งนี้ให้ถือศีล 5 แทนการเลี้ยงผี ก่อนพระองค์จากไปด้วยความอาลัย ตำมิละหัวหน้าบ้านจึงเอ่ยขอสิ่งหนึ่งจากพระองค์ไว้เพื่อระลึกถึง ในเวลานั้นพระองค์ประทับหันพระพักตร์ไปทางตะวันตก พระองค์จึงเอาพระหัตถ์ขวาลูปพระเศียร ได้พระเกศามาสองเส้นเอายื่นให้แก่ตำมิ ละ โดยพระหัตถ์ของพระองค์เอง แล้วบอกแก่ตำมิละว่า…
“ผมเราสองเส้นนี้ให้บรรจุไว้ทางซ้ายมืออยู่เดี๋ยวนี้ เมื่อก่อนจะบรรจุเส้นผมเราสองเส้นนี้ ให้ท่านวัดตั้งแต่ที่เราอยู่เดี๋ยวนี้ทั้งสองข้างซ้าย ขวา ให้มีระยะเท่ากัน”
ภายหลังหัวหน้าบ้าน ได้นำเส้นพระเกศาบรรจุผอบทองคำหนัก 5 บาท ผอบละหนึ่งเส้น ใส่ไว้ในเรือทองคำหนัก 25 บาท ลำละ 1 ผอบ แล้ววัดระยะจากที่พระพุทธเจ้าเคยประทับออกไปในทางซ้าย-ขวา ในระยะที่เท่ากัน ขุดหลุมลึก 9 วา เอาเรือที่บรรจุผอบวางไว้ในหลุมทั้งสองข้าง ข้างละหนึ่งลำ เอาเรือลอยไว้ในหลุมดิน แล้วก่ออิฐทับขึ้นจนพ้นผิวดินไม่ใหญ่ไม่สูง เป็นเพียงเครื่องหมายให้รู้ไว้เท่านั้น ซึ่งก็คือบริเวณพระเจดีย์วัดหลวง ซึ่งอยู่ฝั่งซ้ายมือ และพระเจดีย์วัดแก้วซึ่งอยู่ฝั่งขวา เช่นที่ปรากฎในปัจจุบัน จากนั้นหัวหน้าบ้านตำมิละได้ว่าจ้างผู้รู้หนังสือ มาสลักหินไว้สองแผ่นมีความ กว้าง 1 ศอก ยาว 2 ศอก โดยสลักเป็นอักษรขอมโบราณเต็มแผ่นศิลา ในศิลาจากรึกได้กล่าวถึงพระพุทธเจ้า ได้ประทับรอยพระบาทที่แขวงเมืองเมิง ของอินโดจีน ฝรั่งเศส พร้อมทั้งบอกตำแหน่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับใต้ต้นขนุน
บนศิลาจารึกนั้นยังได้ทำผู้ที่จะมาสร้างพระเจดีย์ทั้งสองแห่งคือ “พระยาไชยราช” อีกทั้งจารึกข้อความไว้เกี่ยวกับความรุ่งเรือง ของพระศาสนา และเมืองเชียงของ ในอนาคต แล้วหัวหน้าบ้านได้นำศิลาจารึกทั้ง 2 แผ่นฝังไว้เป็นใบเสมา ณ ที่ฝังผอบบรรจุพระเกศาทั้งสองแห่งซ้าย-ขวา
*** หมายเหตุ : สำหรับแผ่นศิลาที่หนังสือพื้นเมืองได้กล่าวอ้างนี้ “เจ้าหนานบุษรศ” ผู้เรียบเรียงประวัติศาสตร์การสร้างเมืองเชียงของ ได้บันทึกไว้ว่า ศิลาจารึกทั้ง 2 แผ่น ได้ถูกนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันนำออกไป เมื่อ ร.ศ.124 หรือ พ.ศ. 2449 โดยนักท่องเที่ยวผู้นั้นสามารถอ่านอักษรขอมโบราณได้ จึงได้นำปืนไรเฟิลชนิด 3 ลำกล้อง สำหรับยิงสัตว์มาแลกจากเจ้าราชวงศ์ “บุณรังษี” ซึ่งเป็นน้องเขยของเจ้าจิตตวงษ์ เจ้าเมืองเชียงของในเวลานั้น แล้วนำศิลาทั้งสองแผ่นลงเรือถ่อขนาดใหญ่ในลำน้ำโขงสมัยนั้น มุ่งหน้าไปทางเมืองเชียงแสน
อำเภอเชียงของ (คำเมือง:
)[1] เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดเชียงราย ลักษณะภูมิประเทศพื้นที่ราบ สลับกับเทือกเขา มีพื้นที่ด้านทิศตะวันออกบางส่วนติดกับแม่น้ำโขง ซึ่งฝั่งตรงข้ามคือ เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีประชากรอาศัยอยู่ในพื้นที่หลายเชื้อชาติ เช่น ไตลื้อ ขมุ ชาวมูเซอ แม้ว เย้า โดยกลุ่มไทลื้อโดยมากจะอาศัยอยู่ที่ บ้านห้วยเม็ง และบ้านศรีดอนชัย อพยพมาจากทาง สิบสองปันนา ทางตอนใต้ของประเทศจีนปัจจุบันยึดอาชีพเกษตรกรเป็นหลัก เคยทำสวนส้มกันจนมีชื่อเสียงโด่งดังแต่ปัจจุบันด้วยโรคภัยเยอะชาวบ้านเลยเลิกทำสวนส้มไปหลายราย หันไปทำไร่ข้าวโพดเหมือนกับชาวบ้านใกล้เคียงแทน เชื้อชาติขมุตั้งอยู่ที่บ้านห้วยกอกเป็นหมู่บ้านเล็กๆที่มีประชากรไม่มากนัก ประชากรในอำเภอเชียงของโดยส่วนมากทำอาชีพเกษตรกรรม เช่น ทำนา ไร่ข้าวโพด สวนส้ม สวนลิ้นจี่ สวนส้มโอ และพืชผักต่างๆเป็นต้น

มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย เช่น น้ำตกห้วยเม็งซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในหุบเขาพื้นที่บ้านห้วยเม็งสามารถเดินทางไปได้โดยออกจากตัวอำเภอเชียงของมุ่งหน้าไปทางอำเภอเชียงแสนจากตัวอำเภอระยะทาง 3 กิโลเมตรจะถึงหมู่บ้านห้วยเม็ง เลี้ยวซ้ายเข้าไปผ่านหมู่บ้าน ระยะทางอีกประมาณ 6 กิโลเมตร สภาพเส้นทางเป็นลูกลัง โดยผ่านตามแนวเขาไปยังน้ำตก เหมาะแก่การเดินเท้าสัมผัสธรรมชาติ และปั่นจักรยาน สำหรับรถยนต์ต้องเป็นรถกระบะถึงสามารถเข้าไปยังน้ำตกห้วยเม็งได้ โดยตัวน้ำตกจะมี 2 ฝั่งคือฝั่งซ้ายและฝั่งขวาเป็นน้ำตกขนาดเล็ก ช่วงที่เหมาะแก่การท่องเที่ยวคือปลายฝนต้นหนาว
จากตัวอำเภอเชียงของมุ่งหน้าไปทาง อ.เชียงแสน ประมาณ 13 กิโลเมตร จะถึงที่ตั้งของสวนป่าห้วยทรายมาน มีจุดชมวิว 2 ฝั่งของระหว่างไทย - ลาวได้พื้นที่ติดน้ำโขงบริเวณตัวอำเภอเชียงของจะมีการสร้างถนนเรียบน้ำโขงเริ่มตั้งแต่บ้านหาดไคร้ไปถึงบ้านหัวเวียงนักท่องเที่ยวสามารถแวะชมบรรยากาศริมโขงได้ ท่าจับปลาบึกทุกวันที่ 17-19 เมษายน บริเวณท่าจับปลาบึก (ลานหน้าวัดหาดไคร้) จะมีการบวงสรวงและจับปลาบึกซึ่งหาดูได้ที่เดียวในโลก ปัจจุบันการล่าปลาบึกจะล่าได้ปีละครั้งในช่วงเดือนเมษายนของทุกปีเพื่อเป็นการอนุรักษ์ปลาบึก การล่าจึงทำเพื่อเป็นการสืบทอดการล่าปลาบึกให้คงอยู่ตามประเพณีของชาวบ้านหาดไคร้ และช่วงสงกรานต์บริเวณท่าปลาบึก(ลานหน้าวัดหาดไคร้)และท่าเรือบั๊กจะจัดงานมหาสงกรานต์อย่างยิ่งใหญ่ทุก ๆ ปี สินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์มีมากมาย เช่น กล้วยอบเนยศรีลานนา ผ้าทอศรีดอนชัยที่มีการสืบทอดมาแต่โบราณจากบรรพบุรุษของชนชาวไตลื้อสามารถแวะชมได้ที่และศูนย์ผ้าทอไทลื้อตำบลศรีดอนชัย และสินค้าหัตถกรรมบ้านสถาน ศูนย์หัตถกรรมบ้านสถาน
ในทุกปีช่วงเดือนเมษายน บริเวณแม่น้ำโขงที่อำเภอเชียงของชาวบ้านจะลงไปเก็บไก (สาหร่ายน้ำจืดที่เกิดในแม่น้ำโขง เป็นชื่อเรียกของคนในพื้นที่) โดยจะนำมาตากแห้งบนคา (ชนิดเดียวกับที่ใช้มุงหลังคา) โดยอาจจะมีใส่เครื่องปรุงเช่น งา ข่า ตะไคร้ ต่าง ๆ ลงไป สามารถนำมาทอดกิน รสชาติหวาน กรอบ ปัจจุบันนำมาจัดเป็นสินค้าโอทอป
ปัจจุบัน อำเภอเชียงของเป็นอำเภอที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเริ่มให้ความสนใจเข้ามาท่องเที่ยวมากขึ้น สิ่งก่อสร้างที่พักอาศัยเริ่มมีเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะบริเวณบ้านหัวเวียง จะมีที่พักเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจำนวนมาก โดยนักท่องเที่ยวที่มายังอำเภอเชียงของสามารถข้ามไปยัง เมืองห้วยทรายได้ที่ท่าเรือบ้านหัวเวียง สามารถทำหนังสือเดินทางชั่วคราวเพื่อข้ามไปท่องเที่ยวได้และสามารถใช้พาสปอร์ตข้ามได้เช่นกัน นักท่องเที่ยวสามารถนั่งเรือจากท่าเรือบ้านหัวเวียงล่องน้ำโขงไปยังเมืองหลวงพระบางได้ ทุกๆเย็นวันเสาร์จะมีการจัดงานถนนคนเดินที่ชาวบ้านในพื้นที่จะนำพืชผล ผลิตภัณฑ์ที่ทำขึ้นมา มาจำหน่ายกันยังบริเวณถนนสายหลักตั้งแต่บ้านวัดแก้วไปจนถึงบ้านหัวเวียง นักท่องเที่ยวสามารหาซื้อของฝากที่ผลิตในท้องถิ่นได้ในวันดังกล่าว
การเดินทางมายังอำเภอเชียงของ สามารถใช้เส้นทางจากทาง อ.เทิง-อ.ขุนตาล-อ.เชียงของ ,อ.เมือง-อ.พญาเม็งราย-อ.เชียงของ ,อ.เมือง-อ.เวียงเชียงรุ้ง-อ.เชียงของ , อ.เมือง-อ.แม่จัน-อ.เชียงแสน-อ.เชียงของ โดยจะมีรถเมล์วิ่งผ่านทุกเส้นทางยกเว้นเส้นทางจาก อ.เมือง-อ.แม่จัน-อ.เชียงแสน-อ.เชียงของ จะมีเพียงรถสองแถววิ่งผ่านเท่านั้น โดยรถเมล์จะออกจากสถานีขนส่งเชียงราย สลับกันแต่ละเส้นทาง
ที่มา : ประวัติการสร้างเมืองเชียงของ ขุนภูนพิเลขกิจ (เจ้าหนานบุษรศ จิตตางกูร) พ.ศ. 2548http://chiangrai.kapook.com/chiangkhong-2/
http://www.chiangkhong.com
https://th.wikipedia.org/wiki/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น